green and brown plant on water

การปฏิบัติธรรมให้เป็นกิจวัตร

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567

เรื่อง การปฏิบัติธรรมให้เป็นกิจวัตร

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วร่างกายของเราพร้อมกับทำความรู้สึกผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย กล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วนผ่อนคลายปล่อยวาง ยิ่งปล่อยวางร่างกายมากเท่าไร จิตยิ่งแยกจากร่างกายขันธ์ห้ามากขึ้นเพียงนั้น อาการความรู้สึกที่ไปห่วงไปเกาะไปยึดไปควบคุมบังคับในร่างกาย เมื่อเราผ่อนคลายและปล่อยวางร่างกายเหมือนกับเราสับสวิตซ์ตัดความสนใจในร่างกายทั้งหมด แล้วเมื่อตัดร่างกายแล้วเราจึงมากำหนด พิจารณาปล่อยวางความคิด ปล่อยวางจิตใจจากความฟุ้งความวิตกความกังวลทั้งหลาย ปล่อยวางความห่วงนิวรณ์ห้าประการ ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้จิตเราหนักเราหน่วงเราเกาะออกไปจากจิตให้หมด เหลือแต่เพียงลมหายใจที่ละเอียดราบรื่น

จินตภาพว่าลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย สติรำลึกรู้กำหนดรู้อยู่กับลมหายใจตลอดทั้งสายทั้งกองลมนั้น กำหนดดูกำหนดรู้อยู่กับอารมณ์จิตของเรา สงบ เบา สบาย ปล่อยวาง จิตเป็นอิสระจากความทุกข์ความกังวลนิวรณ์ห้าประการทั้งหลาย 

เมื่อจิตของเราเบาละเอียด สงบ ผ่องใสดีแล้ว เราจึงมากำหนดจิต ในความละเอียด เบา เรากำหนดให้จิตของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง เมื่อจิตเป็นประกายพรึกสว่าง ทรงอารมณ์ที่จิตของเราเป็นเพชรประกายพรึก ภาพนิมิต อารมณ์ใจอันเอิบอิ่มเป็นสุข ทรงอารมณ์จิตไว้ จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตเราเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ทรงอารมณ์ ทรงภาพนิมิต ทรงสภาวะไว้

กำหนดความรู้สึกว่ารัศมีของจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้นแผ่สว่างปกคลุมคุ้มครองกายจิตของเรา ทรงอารมณ์จิตในปฏิภาคนิมิต จิตเป็นเพชรประกายพรึกแผ่รัศมีเส้นแสง พ้นจากเส้นแสงปรากฏสภาวะมีความเป็นทิพย์ราวกับบรรยากาศรายรอบเป็นกากเพชรแพรวพราวระยิบระยับอยู่ ทรงอารมณ์ ทรงฌาน ทรงสภาวะ ใจแย้มยิ้มเอิบอิ่มเบิกบานสว่างไสว จดจำอารมณ์จิตไว้เสมอว่า จิตที่เป็นประกายพรึก จิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต จิตที่เข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร สิ่งต่างๆคำต่างๆนี้คือคำเดียวกันความหมายเดียวกัน และนั่นก็หมายถึง ในสภาวะที่เราทรงอารมณ์นี้ จิตเรามีความเป็นทิพย์อภิญญาสูงสุด ซึ่งนั่นก็คือฌานสี่ใช้งาน อภิญญาจิตใช้งาน จำไว้ว่าจิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่างใสที่สุด จิตมีความเอิบอิ่มเป็นสุขมากที่สุด เรานึกคิดอธิษฐานตรงจุดนี้ก็เกิดผลเป็นไปตามนึก จิตกลายเป็นแก้วสารพัดนึก ในขณะเดียวกันในสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึกผ่องใสที่สุดเป็นสุขที่สุด เราทำทานยกทานถวาย จิตในขณะที่เรายกถวายเป็นเพชรประกายพรึก ผลอานิสงส์ผลบุญก็เกิดสูงที่สุด ดังนั้นเรากำหนดว่าจุดนี้เป็นจุดที่เราจดจำกรรมฐานอารมณ์ใจว่าเป็นจุดที่เราจะต้องทำให้ได้เป็นปกติ นึกปุ๊บจิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่างปั๊บ จากจิตเศร้าหมอง กำหนดจิตปุ๊บ จิตผ่องใสเป็นปฏิภาคนิมิตได้ทันที และในขณะเดียวกัน เราก็กำหนดจิตต่อไปว่า เมื่อเราทรงอารมณ์ให้ฐานของจิต กำลังที่เราทำ มานะบากบั่นปฏิบัติด้วยตัวของเรา เรายังจิต ทำฌานสมาบัติคือฌานสี่ในกสิณปฏิภาคนิมิตให้เกิดได้ เข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสรได้ อันนี้คือฐานที่เราทำมาดีแล้ว แต่คราวนี้สิ่งที่ประเสริฐยิ่งกว่า มีกำลังยิ่งกว่า มีผล มีอานิสงส์ยิ่งกว่า นั่นก็คือ กำลังแห่งพุทธานุสติ ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า เราทำฌานไปเท่าไรก็ตาม อธิษฐานจิต เสกเป่าสิ่งใดต่างๆเท่าไรก็ตาม ทำนานเท่าไรก็ตาม ไม่สู้การที่เราอาราธนาบารมีกำลังแห่งพุทธานุภาพให้มาเมตตาสงเคราะห์ กำลังท่านมากกว่าแน่นอน ฐานเราทำไว้ดีแล้ว คราวนี้เราน้อมจิต อาราธนาบารมีพระรูปพระโฉมพุทธนิมิตของพระพุทธองค์มาสถิตรักษาอยู่ในกายในจิตของเรา กำหนดทบทวนเห็นภาพองค์พระอยู่เหนือศีรษะ องค์พระสว่างเป็นเพชรเป็นแก้วใส อยู่กับองค์พระที่เป็นแก้วใส จิตเราเป็นสุข จิตเรามีความเคารพ จิตเรามีความรัก ในพระพุทธองค์ จิตเราปราศจากความลังเลสงสัยเวลาที่เรานึกภาพพระ  พระท่านอยู่กับเราไหม นึกภาพพระท่านอยู่บนศีรษะของเราได้ ใจเราไม่มีความลังเลสงสัย ว่าภาพนี้นึกไปเองหรือเปล่า กำลังพุทธานุภาพไม่มีหรือเปล่า จิตเราไม่มีอารมณ์ต่างๆเหล่านี้

วิจิกิจฉาเป็นทั้งนิวรณ์เป็นทั้งสังโยชน์ อันนี้วิธีที่เราดูก็คือเราปฏิบัติใจเรามีความมั่นคงแค่ไหน เชื่อมั่นศรัทธาในกำลังพุทธานุภาพแค่ไหน ความศักดิ์สิทธิ์ ที่พระท่านเมตตาสงเคราะห์ของแต่ละบุคคล สุดท้ายเป็นเงาสะท้อนใจของเรา  เราศรัทธาเด็ดเดี่ยวมั่นคงสิ้นวิจิกิจฉาอย่างสิ้นเชิง กำลังพุทธานุภาพในจิตของเราก็มากกว่าคนที่เขานึกภาพพระเหมือนกัน แต่ใจแต่จิตของเขายังมีความสงสัย ยังรู้สึกว่าภาพพระก็คือภาพพระพุทธรูป ไม่ได้มีกำลังแห่งพุทธานุภาพมาตั้งมั่นสถิตอยู่ในพุทธนิมิตในจิตของเรา อันนี้คือความแตกต่างกันของกำลังใจ 

ให้เราน้อมจิตพิจารณาในการปฏิบัติธรรม หากมีคนทั้งหมด สิบคนนั่งเรียนอยู่ คนทั้งสิบคนนั่งขัดสมาธิ ในท่าขัดสมาธิเพชร ร่างกายไม่ไหวติง ฝ่ามือทั้งสองข้างประสานอยู่บนหน้าตัก นิ้วหัวแม่มือจรดกัน แต่คราวนี้ในสิบคนนั้น กำลังฌานสมาธิ ผลของสมาธิ ผลของการปฏิบัติ มีความแตกต่างกันไหม 

ถ้าคนแรกนั่งสงบนิ่งในท่าที่ถูกต้องเป๊ะ แต่จิตใจฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย คนต่อมานั่งอยู่ ท่าถูกต้องเป๊ะ ฝืนใจ ปวดเมื่อย เวทนาขันธ์กำเริบ ปวด อึดอัด อารมณ์จิตอึดอัดอยู่กับกายอยู่กับความปวดเมื่อย คนต่อมากำหนดจิต พยายามทำสมาธิ แต่ใจฟุ้งซ่านคิดไปเรื่องนั้นคิดไปเรื่องนี้ อีกคนหนึ่งนั่งนิ่งทรงท่าสวยงามตรงกันหมด กำหนดจิตจับลมหายใจแต่ลมหายใจมันมีความหยาบ คราวนี้คนต่อมาจับลมหายใจได้ ภาวนาพุทโธได้ กับอีกคนหนึ่งกำหนดจิต ท่านั่งเป็นปกติสวยงามแต่จิตของเขาเป็นดวงแก้วใสแต่เป็นดวงแก้วเฉยๆ เป็นดวงแก้วใสเฉยๆ คนต่อมานั่งสมาธิดวงแก้วเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง อีกคนนึงนั่งแล้วปรากฏว่ากำหนดจิตเห็นองค์พระอยู่ภายในกาย องค์พระเป็นเพชรสว่าง อีกคนหนึ่งกายอยู่ในท่านั่ง ท่านั่งสวยงามแต่ปรากฏว่าจิตนั้นยกขึ้นไปบนพระนิพพานแล้ว อยู่กับพระพุทธองค์กำหนดจิตตัดกิเลสหมดแล้ว 

สรุปทั้งสิบคนดังที่กล่าวมานี้ ท่าเหมือนกันขัดสมาธิเหมือนกัน ด้วยเหตุที่กำลังใจต่างกัน กำลังฌานสมาบัติการฝึกต่างกัน ผลลัพธ์คิดว่าเท่ากันไหม ดังนั้นสุดท้าย เรื่องที่ยกสาธกอธิบายมาให้ฟัง จะทำให้เราแต่ละบุคคลในการปฏิบัติได้ฉุกคิดได้ว่าสุดท้ายอยู่ที่กำลังใจอยู่ที่การตั้งจิตอยู่ที่ภายใน

คราวนี้ตัวเราเองก็ต้องคิดพิจารณาว่า กำลังกรรมฐานสูงสุดที่เราทำได้คืออะไร เราตัดความวุ่นวายตัดความเกาะกายไปได้แล้ว ฌานสี่ในอานาปานสติ ลมละเอียดลมดับเราทำได้ไหม หยุดจิต  อุเบกขารมณ์ เอกัตคตารมณ์ เราทำได้ไหม อันนี้ก็ถือว่าเป็นที่สุดของอานาปานสติคือ ฌานสี่ในอานาปานสติ เห็นตัวนิ่งตัวหยุดของจิต ลมสงบระงับ คือ ดับ หยุดหายใจ จิตเป็นอุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ อันนี้คือฌานสี่ของอานาปานสติ ส่วนการกำหนดนึกภาพก็คือกสิณ เห็นเป็นดวงแก้วใสเฉยๆก็ถือว่าเป็นอุคหนิมิต ถ้ามีแสงสว่างเพิ่มขึ้นมาด้วยก็มีกำลังเพิ่มขึ้น ใสเฉยๆก็ถือว่าใจเริ่มสะอาดจากกิเลสลง สะอาดจากนิวรณ์ห้าประการลง แต่คราวนี้กำลังสูงสุดของกสิณก็คือเห็นภาพ นึกภาพเห็นภาพคือทรงภาพเป็นเพชรประกายพรึก มีเส้นแสงสว่าง อันนี้ก็ถือว่าเป็นปฏิภาคนิมิตคือฌานสี่ของกสิณ มีกำลังสูงกว่า ฌานสี่ของอานาปานสติ ฌานสี่ของกสิณทำให้เกิดทิพย์จักษุญาณได้ ทำให้เกิดอภิญญาสมาบัติอิทธิวิธีได้ไล่ขึ้นไปจนถึงได้กำลังของมโนมยิทธิ คราวนี้ต่อมาก็คือการทรงภาพพระ คราวนี้มีกำลังสูงขึ้นมากกว่าการทำจิตเราให้เป็นปฏิภาคนิมิตอย่างเดียว 

การทรงภาพพระนี้ทำให้เกิดกำลังพุทธานุภาพมาตั้งมั่นในกายวาจาใจของเรา เป็นกำลัง เป็นพื้น ที่ทำให้เกิดอภิญญาจิต ทำให้เกิดกำลังของมโนมยิทธิ ครึ่งกำลังก็ดี เต็มกำลังก็ดี อย่างล่าสุดเมื่อสักครู่ก็มีผู้ที่เขาพึ่งส่งข้อความมาหาอาจารย์ เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่แนะนำให้ฝึกคือทรงภาพพระใส จิตเป็นสุขเอิบอิ่มตลอดเวลา เขาก็สังเกตดูว่านับแต่นี้ บางครั้งจิตเขาก็เหมือนกับพูดกับตัวเอง แต่คราวนี้สิ่งที่เขาพูดกับตัวเองกลายเป็นจริง อย่างล่าสุดเขาตั้งจิต อยู่ๆพูดกับตัวเองว่า “ขอให้ต่อไปมีเงินเดือนจำนวนเท่านี้เท่านี้” พอถึงเดือนนี้ก็ปรากฏว่ามีเงินเดือนเท่านี้จริงๆ ตามที่พูด เป็นไปตามปากพูด อันนี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากผลของการปฏิบัติของจิต อันนี้ก็เล่าให้ฟังว่ามีผู้ที่เขาปฏิบัติแล้วเกิดผล อย่างบางคนที่สวดคาถาเงินล้าน สวดคาถาเงินล้านแล้วกำหนดภาพ เห็นภาพพระก็ดีจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันก็ดี เห็นเป็นภาพสมเด็จองค์ปฐมก็ดี เห็นเป็นภาพพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี หรือหลวงปู่ปานหลวงพ่อฤาษีท่านก็ดี กำหนดเห็นเป็นเพชรใจเป็นสุขอย่าง ที่เราสวดโดยที่จิตเราตั้งไว้ในอุเบกขารมณ์ ไม่มีความโลภไม่มีความอยาก สวดโดยที่จิตเราสงบช้าๆ ผ่องใส ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือเกิดผลอานุภาพแห่งพระคาถาเงินล้าน อาทิเช่น มีความคล่องตัวทางด้านการเงินเพิ่มขึ้น เงินงอกเช่นมีเงินที่มันเกินขึ้นมาเหน็บขึ้นมา ตามกำลังตามวาระตามบุญที่เราเคยทำ ซึ่งการสวดคาถาเงินล้านนี้อันที่จริง ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามที่จะใส่บาตรทุกวันทำทานทุกวัน ซึ่งปัจจุบันสำหรับบางท่านก็อาจจะไม่สะดวกที่จะใส่บาตรทุกวัน วิธีง่ายๆก็คือ เราหาบาตรวิระทะโยหรือบาตรพระที่เป็นกระปุกซึ่งมีขายทั่วไปหาได้ไม่ยาก หรือที่วัดท่าซุงก็มี บ้านสายลมก็มี แล้วก็กำหนดจิตทุกวัน ใช้เหรียญจะ 5 บาท 10 บาท บาทเดียวตามกำลัง กำหนดจิตว่าเราหยอดในบาตรวิระทะโยทุกวันเหมือนกับใส่บาตร ถึงเวลาเราก็รวบรวม ครบเดือนเราก็ไปถวายสังฆทาน หรือมาร่วมบุญถวายสังฆทานมหาสังฆทานที่หมู่คณะเราจัดอยู่ก็ได้ ตรงนี้ก็ถือว่าเราได้ใส่บาตรทุกวันเป็นอาจิณ จิตแนบอยู่กับจาคานุสติ ทำทานเป็นปกติ อาการอารมณ์จิตที่เราหยอดที่เราทำบุญ จิตเราก็นึกภาพไปว่าในขณะที่หยอดเหรียญ จิตเราผ่องใสที่สุดสว่างที่สุด กายเนื้อนี้ยอดเหรียญบาตรวิระทะโย แต่กายทิพย์อาทิสมานกายเราถวายปัจจัยกับพระพุทธองค์บนพระนิพพานโดยตรง เราทำแบบนี้ทุกวันทุกวันทุกวัน สวดคาถาเงินล้านโดยที่กำหนดนึกภาพหรือยกจิตขึ้นไปสวดมนต์พระนิพพาน สวดต่อหน้าพระพุทธเจ้า ตั้งใจว่าเหมือนกับว่าเราสวดถวายท่านเป็นพุทธบูชา ผลอานิสงค์ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ตามกำลังเต็มกำลัง แล้วเราลองดูผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ ใจอุเบกขาสวดเบาๆช้าๆ ละเอียดผ่องใส อันนี้ก็คือแนวทางที่เมื่อเราฟังแล้วก็พยายามยกกำลังใจที่จะฝึกที่จะปฏิบัติ ปฏิบัติในเวลาเท่ากันแต่ความเข้มข้นของกำลังใจแตกต่างกัน ผลลัพธ์และความก้าวหน้า ผลในการปฏิบัติก็แตกต่างกันตามไปด้วย 

คราวนี้เมื่อเราทำได้จุดหนึ่งเราก็ทำหลายๆจุดได้ไม่ยาก คราวนี้เราก็ทำให้กลายเป็นธรรมชาติทำให้กลายเป็นปกติ จะทำบุญเมื่อไรก็ตาม จะทำร่วมกับหมู่คณะกับอาจารย์ หรือเราไปทำของตัวเองที่บ้านหรือไปที่หมู่คณะอื่นครูบาอาจารย์สายอื่น กายเนื้อถวายบนโลกมนุษย์ กายทิพย์น้อมถวายพระพุทธองค์บนพระนิพพานทุกครั้ง จะเป็นถวายเพล ถวายสังฆทานถวายปัจจัย ถวายผ้าป่า เราทำแบบนี้ทุกครั้ง หรือแม้แต่เวลาที่เราโอนปัจจัยทำบุญ เรากำหนดจิตว่าไม่ใช่ว่าพิมพ์พิมพ์พิมพ์กดเสร็จจบ ใจมันเฉยๆนิ่งๆ เรากำหนดจิตก่อน ให้เห็นภาพบุญที่เราทำ เช่นเราไปถวายยอดปลียอดทองคำพระธาตุ เราก็น้อมจิตว่าปัจจัยเราถึงแม้เราโอนไป 50 บาท 20 บาท แต่กำลังใจเราคือถวายทองคำบูชาปลียอดพระบรมสารีริกธาตุ เห็นพระธาตุเป็นทองคำสว่างอร่ามกลายเป็นแก้วกลายเป็นเพชร เรากำหนดว่าบุญนี้เราตั้งจิตเจตนาเช่นนี้ กำหนดเห็นภาพในความเป็นทิพย์ จากนั้นจึงค่อยๆกดค่อยๆคี ก่อนที่จะกดก็กำหนดจิต ว่าเราถวายพระพุทธองค์ จิตเป็นฌาน จิตเป็นสมาบัติ คราวนี้เวลาที่เราถวายทานโดยการโอนก็มีกำลังอานิสงส์สูงกว่าคนที่เขากด กด กด ก็เป็นบุญนะกดส่งจบ ความเอิบอิ่มของจิตมันก็จะแตกต่างกัน อย่าลืมว่าบุญคือความอิ่มใจความสุขใจ บุญใหญ่ยิ่งเกิดปิติมาก บุญใหญ่ยิ่งเกิดปิติสุข เราก็ยกกำลังใจเราให้เกิดปีติเกิดความอิ่มใจสุขใจสูงที่สุดโดยใช้กำลังของกรรมฐานมาช่วย ทานบารมีที่เราใช้กรรมฐานมาช่วย ก็ทำให้ทานนั้น มีผลมีอานิสงส์สูงยิ่งกว่าทานที่ผู้ถวายทานนั้นมีจิตใจเศร้าหมองมีความกังวลหรือมีความห่วงความอาลัยในขณะที่ถวาย จำไว้เสมอว่ากำลังใจการตั้งกำลังใจกำลังจิตสำคัญที่สุดในการปฏิบัติ จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน อันนี้พูดถึงทาน 

คราวนี้สิ่งที่เป็นข้อแนะนำซึ่งพระท่านเมตตาบอกให้แนะนำสิ่งนี้กับคนมากขึ้น ในยามที่เราปฏิบัติพยายามทำให้ทุกกิจวัตรของเรากลายเป็นกรรมฐาน อันนี้คือเคล็ดของการปฏิบัติสำหรับฆราวาสหรือแม้แต่นักบวชท่านก็สามารถนำไปใช้ได้ ตื่นเช้ามานึกถึงพระพุทธเจ้านึกถึงพระนิพพาน กินอาหารก็กำหนดจิต ถวายข้าวพระยกไปถวายพระพุทธองค์ก่อน แล้วจึงลาแล้วจึงอธิษฐานให้อาหารนั้นเป็นของทิพย์ ให้อาหารนั้นปราศจากอวิชชาคุณไสย ให้อาหารนั้นกลายเป็นยาเป็นโอสถทิพย์ อันนี้เราก็ทำได้ทั้งหมด เวลาอาบน้ำก็กำหนดว่าเราชำระล้างกายชำระล้างจิต ชำระล้างกายจากอกุศลไม่ทำชั่วทั้งปวง แปรงฟันเราก็ฟอกกำหนดใจว่าเราแปรงฟัน เพื่อกำจัดไม่ให้ปากของเรามีกลิ่นเหม็น ให้ปากของเราสะอาด ดังนั้นวาจาเราจะพูดแต่สิ่งที่ไพเราะสิ่งที่ยังกำลังใจให้เกิดขึ้น พูดแต่สิ่งที่เป็นกุศล เราจะไม่พูดในสิ่งที่ทำร้ายกำลังใจกัน หรือพูดในวาจาที่เป็นคำด่าว่าประทุษร้าย หรือทำให้คนอื่นเขาเจ็บช้ำน้ำใจ เราตั้งใจว่าเราแปรงฟันแล้วเราต้องให้ปากของเรานั้นวาจาเรานั้นหอมหวนชวนดมเป็นกุศลตามไปด้วย ทำได้ไหม ถ้าเราทำได้ทั้งหมดนี้เราจะเป็นคนที่สวยงามที่สุดน่ารักที่สุดน่าอยู่ใกล้ที่สุด ชำระล้างกายชำระล้างจิต อันนี้บางครั้งมันแตกต่างกับบางคน รูปลักษณ์รูปกายภายนอก แต่งตัวสวยสดงดงามเต็มที่ แต่วาจากล่าวออกมาคำ ฟังไม่ได้ วาจาหยาบคายกระด้างหู อันนี้ก็ทำให้หมดงามไป

ดังนั้นกำหนดว่าเราเมื่อปฏิบัติธรรมแล้ว เรางดงามจากภายในคือดวงจิต งดงามทางกาย งดงามทางวาจากิริยามารยาท น้ำจิตน้ำใจถึงพร้อมทั้งหมด ทำได้แล้วชีวิตเราก็เปลี่ยน ไปไหนคนก็เมตตา ไปไหนคนก็รัก เทวดาท่านก็รักษา พรหมท่านก็เมตตาสงเคราะห์ ดังนั้นตั้งกำลังใจว่าในกิจวัตรแต่ละวันของเรา เรากำหนดจิตให้เป็นกรรมฐานทั้งหมด ทำได้ไหม กำหนดจิตถามใจของเรา อย่างน้อยที่สุดในการตื่นในการกินในกิจวัตรที่ดูแลร่างกายเรื่อยไปจนกระทั่งถึงก่อนนอน ก่อนนอนก็กำหนดจิต ทิ้งกายตัดกายพิจารณาความตายก่อนนอนว่าถ้าตายไปคืนนี้ เราปล่อยวางความห่วงความกังวลได้ไหม ตัดกายได้ไหม ตัดภาระได้ไหม พระท่านสอนว่าวิธีฝึกตัดเพื่อไปพระนิพพานที่ดีที่สุดก็คือ ต้องขยันพิจารณา ฝึกพิจารณาถามจิตของเราว่า เราตัดสิ่งที่เรารักที่สุดได้ไหม ถามใจเราเองว่าเรารักอะไรที่สุด หวงอะไรมากที่สุด ห่วงอะไรมากที่สุด แล้วก็พิจารณาว่าเราตัดเราปล่อยวางสิ่งนั้นได้ไหม เพราะสุดท้ายถ้าจะไปพระนิพพานก็ต้องตัดทั้งหมด ฝึกตัดทุกวัน  อย่าคิดว่าเดี๋ยวไปตัดเอาวันที่เราจะตาย ถ้าไม่เคยฝึกจิตมาก่อนไม่เคยตัดมาก่อนถึงเวลามันตัดไม่ขาด เหมือนกับเราฝึกยึดมาตลอด กอดมันหนาแน่นมาตลอด จะให้ปล่อยวางปล่อยวางไม่ได้ แต่ถ้าเราฝึกปล่อยวางทุกวันฝึกปล่อยวางทุกคืน ฝึกปล่อยวางต่อเนื่องมาเป็นสิบปี ยี่สิบปีถึงเวลามันก็เป็นการปล่อยวางที่ง่ายดายที่มันเบา ไม่ได้เป็นเรื่องยาก มันจะยากเพราะว่าเราไม่เคยฝึกไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นยิ่งเราสะสมชั่วโมงบิน คือการปฏิบัติมีความสม่ำเสมอเพียงใด ปฏิบัติมาโดยตลอดต่อเนื่องเพียงใด มีความคล่องตัวมีวสีเพียงใด ผลในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานเราก็ง่ายดายขึ้นเพียงนั้น

แต่สำหรับบางคนที่ตั้งจิตฝึกยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานทุกวันทุกวันจนคล่องตัวจัดคล่องตัวอย่างยิ่ง เจ็บป่วยไม่สบายปุ๊บขึ้นมาบนพระนิพพานแบบหลวงพ่อ มีเรื่องร้อนเรื่องหนักกังวลใจขึ้นมาบนพระนิพพานทันที ทุกข์ใจที่สุดขึ้นมาบนพระนิพพานทันทีแล้ววางเรื่องที่ทุกข์บนโลก ฝึกจนคล่องตัวอย่างยิ่งเช่นนี้ได้ถึงเวลาที่ตาย ถึงเวลานั้นจิตอาจจะเป็นเพียงแค่รู้ตัวอีกทีเราอยู่บนพระนิพพานแล้ว ทำไมง่ายดายเช่นนั้น เพราะเราวางเราฝึกเราตัดมาด้วยความสม่ำเสมอ ดังนั้นอาจารย์จึงพูดเสมอว่า อันที่จริงคนเก่งมันมีเยอะ ฝึกปุ๊บเห็นภาพปั๊บ ฝึกปุ๊บได้มโนเลย ฝึกปุ๊บมาบนพระนิพพาน ฝึกแล้วเห็นภาพชัดอย่างยิ่ง แต่ฝึกหนเดียวแล้วก็ไม่ฝึกอีกเลย เสียดายพรสวรรค์ เสียดายที่พระท่านเปิดให้ กับบางคนอันนี้ขอยกตัวอย่างซึ่งที่จริงก็เป็นเรื่องที่ดี มีบางคนมาเรียนกับอาจารย์ หลงมา หลงมาวันแรก พอฝึกเสร็จมาถามอาจารย์ว่าที่นี่เขาทำอะไรกัน ฝึกมาตลอดเต็มวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตกลงเขาทำอะไร ทุกครั้งที่ปฏิบัติก็ทำหน้างงๆตลอดฝึกไปเรื่อยๆฝึกไปเรื่อยๆปฏิบัติไปเรื่อยๆผ่านไปสามปีสี่ปี จนในที่สุดก็เข้าใจว่าปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน แต่ภาพที่เห็นก็ชัดบ้างไม่ชัดบ้าง มีความเชื่อมั่นบ้างไม่เชื่อมั่นบ้างว่าจะไปนิพพานได้ไหม อาจารย์หนูจะไปนิพพานได้ไหม แต่กำลังใจที่ทำที่สุดก็คือตั้งใจว่ายังไงก็ไม่รู้หละหนูขอกอดขาพระพุทธองค์ไปพระนิพพาน ยังไงตายเมื่อไรไปพระนิพพาน สุดท้ายก็คือลูกตื้อลูกสม่ำเสมอ บางคนเขาไม่ได้เลยแต่กำลังใจเขาไม่เลิก เขาไม่ล้มเลิก เขาตั้งจิตปฏิบัติ มีความตั้งมั่น มีความเข้มข้น ที่เล่าให้ฟังนี่คือยกตัวอย่างนี้คือไม่ใช่ว่าเป็นการว่าหรือประณาม แต่เป็นการเล่าเพื่อยกย่องว่า เหมือนกับกระต่ายกับเต่า บางคนเป็นกระต่ายคือฝึกปุ๊บเห็นภาพชัดแต่ทำครั้งเดียวไปนอนเลิก กับอีกคนได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ ก้าวเดินช้าๆสม่ำเสมอทำตลอดไม่ทิ้ง ทำไปทำมาเต่าจะชนะกระต่ายก็เพราะความสม่ำเสมอ ความเพียร เราช้ากว่าเขาแต่เราไม่ทิ้ง เราทำเป็นปกติ ดังนั้นทุกคนที่มาปฏิบัติไม่จำเป็นต้องน้อยใจ ฝึกแล้วครั้งแรกไม่ชัด ฝึกแล้วไม่ค่อยชัด ฝึกแล้วยังทำได้บ้างไม่ได้บ้าง สุดท้ายทำได้ไม่ได้อยู่ที่การฝึกฝน อาจารย์ฝึกมโนมยิทธิครั้งแรกก็ไม่เข้าใจ ทำไม่ได้ พุ่งตามแสงเป็นยังไง ไม่เข้าใจ จนกระทั่งไปเจอคนที่เขาเป็นพุทธมารดาแล้วเขาอธิบาย เราแอบฟัง แอบฟังนอกกลุ่ม ฟังเขาเล่า  ให้คนอื่น ปรากฏว่าได้ตามนั้น กลายเป็นง่าย พอเข้าใจปุ๊บกลายเป็นง่าย หรือแม้แต่การฝึกฌานสี่ในอานาปานสติมันก็ไม่ใช่ว่าอาจารย์ฝึกแล้วทำได้เลย กว่าจะนิ่ง กว่าจะสงบ กว่าจะทำได้ กว่าจะเป็นวสี ก็ใช้เวลานานพอสมควร จะมีแตกต่างก็ตรงฝึกกสิณนี้มันมาตั้งแต่เด็กๆมันมาเองกลายเป็นง่ายมากทำได้โดยไม่รู้ตัว ผลของอภิญญาจิตมันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เด็กๆ เอาง่ายๆสอบติดจุฬาได้นี้จริงๆแล้วจริงๆไม่ใช่เพราะเรียนเก่ง แต่ได้เพราะว่าของเก่า ความเป็นทิพย์ของจิตมันเกิดขึ้น รู้ข้อสอบมาช่วงสอบ พระท่านสงเคราะห์ อันนี้ก็เป็นตัวอย่าง แต่คราวนี้เวลาที่เรามาฝึก อย่างคนไหนภาพยังไม่ชัดการทรงภาพพระยังไม่ชัด ที่จริงมันก็มีวิธีการฝึกที่ทำให้ชัด คือตอนแรกเรายังไม่ชัดเสร็จเราเห็นภาพพระ พอไม่ชัดปุ๊บเรากำหนดจิต ท่านบอกว่าให้ระเบิด อันนี้จริงๆตั้งแต่อาจารย์เคยได้ยินกับเคยฝึกมาตั้งแต่สมัยได้มโนใหม่ๆ แล้วก็มาตรงกับที่หลวงพ่อหนุน วัดพุทธโมกข์ท่านสอน ท่านใช้คำว่าพุทโธระเบิด เวลากำหนดจิตทรงภาพพระ องค์พระไม่ใส ระเบิด ระเบิดหายแล้วกลายเป็นองค์ใหม่แล้วใสขึ้น ระเบิดใหม่แล้วใสขึ้น ระเบิดใหม่แล้วใสขึ้น ใสขึ้นใสขึ้นไป การที่เรากำหนดจิตระเบิดภาพนิมิตเก่าทิ้ง อันที่จริงคือกำลังของการกำหนดในอรูป คือสลายรูปแล้วกำหนดรูปใหม่ สลายรูปแล้วกำหนดรูปใหม่ เหมือนกำลังของอรูปสมาบัติก็จะมาหนุนให้การกำหนดการทรงภาพพระนั้นยิ่งมีกำลังขึ้น อันนี้ก็สามารถไปใช้ค่อยๆฝึกของแต่ละบุคคล อันนี้จุดที่ 1 

จุดที่ 2 ก็พิจารณาตัดขันธ์ห้าตัดร่างกายให้มากขึ้น อันนี้ตามคำแนะนำของหลวงพ่อฤาษี การทรงภาพพระไม่ชัดเจนก็คือให้ตัดขันธ์ห้าให้มากขึ้น ไปสนใจกายมากเกินไปสมาธิยังอ่อน แยกกายแยกจิตได้ยังน้อยเกินไป 

คราวนี้เคล็ดลับข้อที่ 3 ก็คือ นึกภาพพระไม่ได้ วิธีการก็คือ ไปปิดทององค์ พระไม่ต้ององค์ใหญ่มาก องค์เล็กๆหน้าตักประมาณสักสามถึงสี่นิ้ว ไปปิดด้วยตัวเองก็คือ ตั้งแต่ลงรัก ลงรักลงชาดสีแดง จากนั้นปิด พอปิดทองไปเรื่อยๆเนี่ยกำหนดจิตปิดทองพร้อมกับจำพระรูปโฉมของพระที่เราปิด คราวนี้อานิสงส์แห่งการปิดทอง ก็จะกลายเป็นว่าทำให้เราเห็นภาพองค์พระที่เราเคยปิดนั้นติดตาติดใจของเรา แต่คราวนี้พูดมาถึงเรื่องปิดทององค์พระ ก็จะเล่าเสริมกำลังใจกำลังกรรมฐานเวลาที่ปิดทอง อย่างบางที่บางแห่งเขาก็ปิดไปคือปิดไปโดยสังเกตดูให้เรียบดูอะไรว่าไปตามงานฝีมืองานศิลปะ แต่คราวนี้จริงๆตามแบบของวัดท่าซุงก็ดีหรือตามแบบของทางศูนย์พุทธศรัทธาก็ดี อย่างแม่วินี่ท่านกำหนดเลยว่าคนไหนที่ไม่ได้กรรมฐานท่านไม่ให้ปิดทอง เวลาที่ปิดทองต้องทรงฌานทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน กำหนดจิตกายเนื้อปิดทองบนพระพุทธรูปเห็นภาพทองเป็นเพชรประกายพรึกเป็นกสิณ จิตตั้งจิตถวายทองพระพุทธองค์บทพระนิพพานพร้อมกับปิดโดยจิตตั้งมั่นในสมาธิทรงอารมณ์พระนิพพาน ตั้งกำลังใจว่าถวายเป็นพุทธบูชาเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด 

คราวนี้ลองให้เราพิจารณาดูว่ากำลังใจแบบนี้กับกำลังใจก็ปิดไปให้สวยงามกับกำหนดจิตแบบนี้อันไหน มีผลมีอานิสงส์มากกว่ากัน อันนี้พอเข้าใจไหม อันนี้ก็คือสิ่งที่เสริมให้ สุดท้ายการตั้งกำลังใจสำคัญที่สุดเป็นแก่นของสรรพวิชาทางด้านจิตทั้งหมด รวมไปถึงวิชากำลังภายในพลังยุทธลมปราณทั้งหลาย พลังในการรักษาโรคบำบัดโรคทั้งหลาย การปฏิบัติจิตการกำหนดจิตอภิญญา ทุกอย่างคือ คนที่ตั้งกำลังใจได้สูงกว่ามีพลังมากกว่า มีอานิสงส์สูงกว่า มีผลลัพธ์เข้มข้นคุณภาพของจิตสูงกว่าตามไปด้วย 

สำหรับตอนนี้เราก็คิดว่าน่าจะมีกำลัง ทั้งความเข้าใจและกำลังใจในการปฏิบัติเกิด การนึกการตั้งกำลังใจจริงๆถามว่ายากไหม จริงๆไม่ยาก มันไม่ใช่ใช้แรงเข็น มันแค่เป็นการคิดด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจ ด้วยจิตที่ศรัทธา ด้วยความมั่นคงที่ไร้วิจิกิจฉา บอกกับตัวเราว่ากำลังใจ ที่เราตั้งใจจะดันกำลังใจเราเองให้สูงที่สุดนะมันไม่ใช่เรื่องยาก แค่ตั้งใจว่านับแต่นี้เราจะปฏิบัติกรรมฐานให้เต็มกำลังในทุกจุดที่เราทำได้ที่เราพอมีสตินึกได้ ไม่ช้าพอทำไปมากเข้าบ่อยเข้ามันก็จะเป็นเรื่องปกติเป็นเรื่องธรรมดา กลายเป็นเรื่องที่ไม่ยาก กลายเป็นเรื่องที่เหมือนกิจวัตรประจำวัน ถามว่าการปฏิบัติธรรมนี้จำเป็นต้องทำทุกวันไหม ก็ต้องถามว่า ทุกวันนี้เราไม่อาบน้ำทุกวันได้ไหม ไม่แปรงฟันทุกวันได้ไหม ไม่กินข้าวทุกวันได้ไหม การปฏิบัติคืออาหารของจิต การปฏิบัติขัดเกลาก็คือการชำระล้างฟอกจิตของเราจากเถ้าธุลีกิเลสความเศร้าหมองทั้งปวง เหมือนกับเราอาบน้ำ เราควรทำทุกวันไหม ทิ้งช่วงห่างไปหยุดปฏิบัติ เลิกปฏิบัติ สรรพกิเลสก็มาเกาะ ก็มากัดกินก็มาพอกจิตที่เคยประภัสสรให้เศร้าหมอง ดังนั้น เราจึงควรปฏิบัติทุกวันเป็นปกติ 

สำหรับวันนี้ตอนนี้ก็ใกล้เวลาที่จะจบหมดเวลาเจริญพระกรรมฐาน คราวนี้เราได้เรียนในเรื่องของคำแนะนำในการปฏิบัติ หัวข้อวันนี้จริงๆก็คือการปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร การปฏิบัติธรรมให้เป็นกรรมฐานเต็มกำลังเสมอทุกกองทุกสิ่งอย่าง ทานศีลภาวนาทุกอย่างเต็มกำลัง คราวนี้ เราตั้งจิตทรงภาพพระ อธิษฐานจิตขอบารมีพระยกจิตพุ่งขึ้นไปบนพระนิพพาน เมื่อขึ้นไปแล้วก็กำหนดจิตตัดสรรพกิเลสทั้งปวง ตัดภพชาติ ตัดสังโยชน์ทั้งสิบ ทรงอารมณ์พระนิพพาน ตั้งกำลังใจให้ผ่องใสที่สุด กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใสที่สุด

จากนั้นตั้งจิตว่า การปฏิบัติของข้าพเจ้านี้ เนื่องจากวันนี้เป็นวารดิถี ครบรอบแห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบ 242 ปี ใต้บารมีแห่งพระจักรีวงศ์ ขออาราธนาอัญเชิญดวงพระวิญญาณของบูรพมหากษัตราธิราชแห่งพระราชวงศ์จักรีมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายบนพระนิพพานด้วยเถิด จากนั้นตั้งจิตพนมมือกราบ ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอการปฏิบัตินี้ ถวายเป็นการบูชาคุณบูรพมหากษัตราธิราชนอกเหนือจากเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา บิดามารดา ครูอุปัชฌาอาจารย์ จากนั้นอธิษฐานจิตต่อไปขออาราธนาบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ขอน้อมกราบบุญบารมีที่ปรากฏขึ้นรวมตัวทั่วแผ่นดินเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานส่องตรงมายังศาลหลักเมือง ยังเทวดาอารักษ์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาบ้านเมืองแผ่นดิน กระแสบุญน้อมส่งผลถึงพระสยามเทวาธิราช เทวดาผู้รักษาเศวตฉัตร เทวดาอารักษ์ผู้พิทักษ์รักษาพระบรมมหาราชวังและพระที่นั่งทุกพระองค์ ขอกำลังบุญ ขอกระแสจากพระนิพพาน ส่งผลให้เทวดาอารักษ์ผู้พิทักษ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสยามเทวาธิราช พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง ได้อนุโมทนาบุญ น้อมกุศล ทรงโปรดให้เกิดเทพฤทธิ์อิทธิฤทธิ์บารมีเพิ่มพูนสูงขึ้นอย่างอัศจรรย์ ทาน ศีล ภาวนา บุญใหญ่ บุญกรรมฐาน ขอส่งผลถึงทุกท่านทุกๆพระองค์ ขอท่านเมตตาแผ่บารมีปกปักรักษา ชาติบ้านเมือง ศาสนา ราชบัลลังก์ พระราชวงศ์ ให้ธำรงคงอยู่ตราบ 5000 ปี เพื่อรักษาพระพุทธศาสนา กำหนดน้อมจิตให้เห็นแสงสว่างส่องลงมา ศาลหลักเมืองสว่าง จิตปรากฏเห็นเทวดาอารักษ์ทั้งหลาย ปรากฏเทพพรหมทั้งหลายปรากฏ กำหนดจิตน้อมกระแสจากพระนิพพานส่องตรงลงมายังวัดพระแก้วภายในพระอุโบสถ จิตเรากำหนดรู้เห็นเทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเสด็จมาปกปักรักษาพระแก้วมรกตนับตั้งแต่ ครั้งแรกที่สร้างขึ้นและเดินทางผ่านดินแดนทั้งหลายทั้งอาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรล้านนา อาณาจักรโยนกนคร กรุงธนบุรีตากจนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เทวดาอารักษ์เทพพรหมในทุกยุคทุกสมัยขอให้ปรากฏ กำหนดน้อมจิตน้อมกราบทุกท่าน แล้วน้อมจิตถามว่าท่านเมตตาเราไหม ท่านโมทนาท่านรับรู้รับทราบไหม ขอให้ท่านโมทนาสาธุกับบุญกุศลที่เราสาธุชนน้อมถวาย บ้างก็ไปเจริญสมาธิจิต บ้างก็ไปสวดมนต์ถวาย ขอบุญทั้งหลายจงถึงท่าน เกิดเทพฤทธิ์อิทธิฤทธิ์ บุญบารมีมากมายมหาศาลปกป้องคุ้มครองรักษาพระแก้วมรกต พระพุทธศาสนาและบ้านเมืองแผ่นดิน 

กำหนดจิต ณ ตอนนี้กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพเราอยู่บนพระนิพพาน น้อมอาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมายังแผ่นดิน บูชาแผ่นดินกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งใจว่าการปฏิบัติธรรมวันนี้ถือว่าเป็นการน้อมถวายให้กับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แผ่นดินบ้านเมือง พระราชวงศ์ น้อมถวายให้กับเทพพรหมเทวาที่พิทักษ์รักษา คุ้มครองบ้านเมือง ขอกรุงรัตนโกสินทร์จงเจริญรุ่งเรืองรุ่งโรจน์เข้าสู่ยุคชาววิไล จิตเราเอิบอิ่มเบิกบาน การปฏิบัติธรรมของเราไม่ใช่เป็นไปเพื่อตนเองเพียงอย่างเดียว แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเพื่อบ้านเมือง เรามีกำลังฌาน มีกำลังกรรมฐาน มีกำลังอภิญญาสมาบัติ เราใช้กำลังแห่งกุศลกำลังแห่งคุณกำลังแห่งอภิญญานี้ ช่วยยังประโยชน์ค้ำจุนชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ เทวดาพรหมทั้งหลายท่านรับรู้รับทราบในกุศลและเจตนาของเราทุกคน จิตเรายิ่งศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ปฏิปทาสาธารณประโยชน์ของเรายิ่งสมบูรณ์พร้อมขึ้น กำหนดให้เห็นกายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างเจิดจ้าเป็นเพชรระยิบระยับ เปี่ยมกระแสแห่งบุญอย่างยิ่ง จิตเอิบอิ่มอย่างยิ่ง ความเป็นทิพย์ปรากฏสว่างไสวอย่างยิ่ง 

จากนั้นใจสบายๆผ่องใส กำหนดน้อมจิตกราบพระพุทธเจ้า กราบพระปัจเจกพุทธเจ้า กราบพระอรหันต์ พระอริยะเจ้าทุกๆพระองค์ เทพพรหมเทวาครูบาอาจารย์ทุกพระองค์บนพระนิพพาน ขออาราธนากำลังแห่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ ธรรมานุภาพอันศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่มีประมาณ กำลังความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระอริยะสงฆ์อันไม่มีประมาณ กำลังเทพฤทธิ์พรหมฤทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ของเทพพรหมอันเป็นสัมมาทิฏฐิ กำลังกุศลความดีที่ข้าพเจ้ามีความกตัญญูกตเวทิตาต่อพ่อแม่ครูอุปัชฌาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณ ประเทศชาติแผ่นดินบ้านเมือง สถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าทั้งหลายสั่งสมมาดีแล้ว บุญกุศลที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้จุติมาติดตามหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมยานบำเพ็ญบารมีมาช้านานแล้ว ด้วยสัจจะวาจานี้ ขอบุญจงรักษาข้าพเจ้าให้รอดพ้นปลอดภัยจากศึกสงครามภัยพิบัติทั้งปวง ขอธรรมจงรักษาผู้ประพฤติธรรม ขอบุญจงรักษาด้วยกำลังแห่งบุญ ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่มีความสุขทั้งกายวาจาใจ รวยชาตินี้ตายเมื่อไรไปพระนิพพาน รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ มีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าต่อส่วนรวม

จากนั้นน้อมจิตกราบ แล้วก็พุ่งจิตกลับมาที่กายเนื้อ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาที่กายเนื้อฟอกธาตุขันธ์ แสงสว่างส่องตรงมายังกายเนื้อ ผมขนเล็บฟันหนังใสเป็นแก้ว โครงกระดูกทั่วกายใสเป็นแก้ว หลอดเลือดเส้นเอ็นสว่างใสเป็นแก้ว เนื้อหนังมังสาอาการสามสิบสองอวัยวะภายในทุกส่วน กระแสบุญกระแสจากพระนิพพานฟอกชำระธาตุขันธ์ใสเป็นแก้วทุกส่วน โรคภัยไข้เจ็บสลายตัวออกไปให้หมด 

จากนั้นน้อมขอให้กระแสแห่งสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติ ได้หลั่งไหลลงมาสู่ชีวิตของเรา แล้วก็อธิษฐานนะ ขอโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันและที่มาฟังในภายหลัง ขอกุศลความดีจงเกิดขึ้น ขอบุญกุศลแห่งการปฏิบัติเป็นเมตตาแผ่ไปอย่างไม่มีประมาณยังสรรพสัตว์ทุกดวงจิต อุทิศส่วนกุศลให้กับสรรพสัตว์ทั่วสังสารวัฏ 

จากนั้นหายใจเข้า ช้า ลึก ยาว หายใจเข้าพุทธ ออกโธ ช้า ลึก ยาวครั้งที่ 2 ธัมโม ช้าลึกยาวครั้งที่ 3 สังโฆ ใจแย้มยิ้มเอิบอิ่มเบิกบาน เป็นสุขทั้งในเบื้องต้นก่อนปฏิบัติพระกรรมฐาน จิตผ่องใสเป็นสุขเป็นกุศลเต็ม ถึงพร้อมในระหว่างที่ปฏิบัติ และท้ายที่สุดโดยปัจฉิมแม้ออกจากฌานสมาบัติแล้วจิตก็ยังทรงความสุขผ่องใส ทรงอารมณ์แห่งพระกรรมฐานได้ตลอดทั้งยามหลับและยามตื่น จิตใจเบิกบาน และขอให้เราทุกคนมีความเจริญก้าวหน้าในธรรมและมีความสุข มีความเจริญ มีความก้าวหน้าในผลแห่งการปฏิบัติ 

พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

แล้วก็สำหรับสัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ก็มีที่อาจารย์สอนที่สมาคมศิษย์เก่าจุฬา คนไหนที่ลงทะเบียนได้ทันก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะ มาฝึกพบกันเจอกันก็รับกระแสพลังได้มากกว่าเข้มข้นกว่า 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สวัสดีครับ 

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page